1.1 ความหมายของการทําความเย็นและปรับอากาศ
การทำความเย็น คือ การทำให้อุณหภูมิของบริเวณโดยรอบหรือบริเวณควบคุมลดต่ำลงจนถึงระดับที่ต้องใช้ประโยชน์
เช่น การทำความเย็นในตู้เย็น ตู้แช่ ห้องเย็น โรงน้ำแข็ง เป็นต้น
การปรับอากาศ หมายถึง
การปรับสภาวะของอากาศให้เหมาะสมกับสภาพต่างๆ ตามต้องการ รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
การเคลื่อนที่ การคลื่อนไหวของอากาศ ตลอดจนการทำอากาศให้สะอาดบริสุทธิ์
คุณลักษณะข้างต้น
เครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้
เมื่อมีการปรับอากาศในห้อง ความร้อนในห้องจะถูกสารทำความเย็นรับไป
ทำให้ห้องนั้นเย็นลงกว่าอุณหภูมิรอบ ๆ
สารทำความเย็นเมื่อได้รับความร้อนจะมีพลังงานเพิ่มขึ้นและด้วยวิธีการที่เหมาะสมของปรับอากาศ
พลังงานความร้อนที่นำออกจากห้อง
สามารถระบายทิ้งไปกับอากาศภายนอกหรือนำระบายความร้อนได้ ลักษณะของเครื่องทำความเย็นทั่วไป
แสดงดังรูปที่ 1.1
เครื่องปรับอากาศ
|
ตู้แช่เครื่องดื่ม
|
ตู้เย็น
|
ตู้แช่ขนม
|
รูปที่ 1.1 ลักษณะของเครื่องทำความเย็น
[1-3]
1.2 ความร้อน
(Heat)
ผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของโมเลกุล
ทิศทางและอัตราการไหลของความร้อนจะไหลจากอุณหภูมิสูงไปสู่อุณหภูมิต่ำ
และไหลไปในทิศทางเดียวกันจนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ากันจึงหยุดการไหล ความรร้อนแบ่งออกเป็น
3 ชนิด ได้แก่
1.2.1 ความร้อนสัมผัส คือ
ความร้อนจำนวนหนึ่งท่ให้กับสสารแล้วทำให้สสารนั้นมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป อาทิเช่น
น้ำในแก้วมีอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส
เมื่อให้ความร้อนแล้วทำให้น้ำในแก้วนั้นมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 90 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้น 20%
1.2.2 ความร้อนจำเพาะ ความร้อนที่ทำให้สสารหนัก 1 ปอนด์ (Pound;
Ib) ที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น
น้ำมีค่าความร้อนจำเพาะเท่ากับ 1 หมายถึง น้ำปริมาณ 1 ปอนด์ เมื่อให้ความร้อนแก่น้ำนั้นเพิ่มขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮท์
เรียกว่าน้ำมีความร้อนจำเพาะเท่ากับ 1 ซึ่งสสารประเภทต่างๆ
มีค่าความร้อนจำเพาะที่แตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที่ 1.1
ตารางที่ 1.1 ค่าความร้อนจำเพาะของสสารประเภทต่างๆ
ความร้อนจำเพาะของสสาร
|
ค่าความร้อนจำเพาะ
|
สารทำความเย็น R-12
|
0.213
|
สารทำความเย็น R-22
|
0.26
|
ไอน้ำ
|
0.48
|
น้ำแข็ง
|
0.504
|
กลีเซอร์รีน
|
0.576
|
แอลกอฮอล์
|
0.615
|
น้ำเกลือ
|
0.85
|
ทองแดง
|
0.095
|
น้ำ
|
1.0
|
1.13. ความร้อนแฝง คือ ความร้อนที่ทำให้สสารเลี่ยนสถานะไป
โดยที่อุณหภูมิเท่าเดิมไม่ปเลี่ยนแปลง เช่น ต้องการทำให้น้ำเดือนกลายเป็นไอ หรือ
ไอน้ำ กลั่นตัวเป็นของเหลวก็ต้องใช้ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ
ในการหาค่าความร้อนแฝงสามารถคำนวณได้ ดังนี้
Q = mL (1.1)
Q คือ ปริมาณความร้อน หน่วย BTU
m คือ น้ำหนักของสสารหรือมวล หน่วย ปอนด์
L คือ ค่าความร้อนแฝงจำเพาะ หน่วย BTU/
ปอนด์
1.3 การถ่ายเทความร้อน
(Heat Transfer)
1.3.1 การนำความร้อน (Conduction)
1.3.2
การพาความร้อน (Convention)
1.3.3.การแผ่รังสีความร้อน (Radiation)
รูปที่ 1.2 การถ่ายเทความร้อน (Heat Transfer) [4]
1.4 ปริมาณความร้อน
คือ จำนวนความร้อนที่อยู่ในสสารนั้นๆ
จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 ประเภท
ได้แก่ น้ำหนักของสสาร ความร้อนจำเพาะของสสาร และอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป
ซึ่งแสดงดังสมการต่อไปนี้
Q
= mst (1.2)
Q คือ ปริมาณความร้อนในสสาร (BTU)
m คือ น้ำหนักของสสารหรือมวล (Ib)
s คือ ความร้อนจำเพาะของสสาร
t คือ อุณหภูมิที่เปลี่ยนไป หน่วย องศาฟาเรนไฮท์ (F)
อุณหภูมิ คือ ระดัความร้อนของสิ่งของหรือสารเป็นความเข้มข้นของความร้อนที่มีอยู่ในสสารนั้น
1.5 อุณหภูมิ (Temperature)
อุณหภูมิ คือ ระดัความร้อนของสิ่งของหรือสารเป็นความเข้มข้นของความร้อนที่มีอยู่ในสสารนั้น
โดยสามารถวัดอุณหภูมิ คือ
การวัดสภาวะของสารนั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยใช้อุปกรณ์วัดหาระดับความร้อนที่เรียกว่า
เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer) ซึ่งหน่วยสำหรับการอ่านค่าอุณหภูมิ
เช่น องศาเซลเซียส องศาฟสเรนไฮท์ เคลวิน เป็นต้น สามารถแปลงค่าอุณหภูมิได้ดังตางรางที่
1.2
ตารางที่ 1.2
การแปลงหน่วยอุณหภูมิ
แปลงจาก
|
ไปเป็น
|
สูตร
|
องศาฟาเรนไฮด์
|
องศาเซลเซียส
|
oC
= oF - 32
|
องศาเซลเซียส
|
องศาฟาเรนไฮด์
|
oF
= oC + 32
|
เคลวิน
|
องศาเซลเซียส
|
oC
= K – 273.15
|
องศาเซลเซียส
|
เคลวิน
|
K =
oC + 273.15
|
เคลวิน
|
องศาฟาเรนไฮด์
|
K =
(oF x 1.8) – 459.69
|
องศาฟาเรนไฮด์
|
เคลวิน
|
K = (oF + 459.69) ÷ 1.8
|
1.6 ตันของการทำความเย็น
ตันของการทำความเย็น (Ton of
Refrigeration) เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดความสามารถของการทำความเย็น
บีทียู (British Thermal Unit ;BTU)
โดยที่ 1 ตันความเย็น = 12000 BTU
ตัวอย่าง เครื่องปรับอากาศขนาด 12000 BTU หมายถึง เครื่องปรับอากาศนี้สามารถถ่ายเทความร้อนได้ชั่วโมงละ 12000
BTU อธิบายได้ว่า การทำละลายน้ำแข็ง 1 ตัน (2,000
ปอนด์) หมดภายในเวลา 24 ชั่วโมง
1.7 ความดัน (Pressure)
ความดัน หมายถึง แรงที่กระทำตั้งฉากซึ่งทำโดยของแข็ง
ของเหลว หรือแก๊ส ต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ของสารใด ๆ ความดันมี 3 ชนิด ได้แก่ ความกันที่เกิดจากของแข็ง ความดันที่เกิดจากของเหลว และความดันที่เกิดจากก๊าซ
(ความดันอากาศ)
ความดันของแข็ง คือ อัตราส่วนของแรงที่ใช้กระทำกับวัตถุต่อพื้นที่หน้าตัดขอองตัวกระทำ
มีหน่วยเป็น นิวตันต่อตารางเมตร หรือ พาสคาล (Pa)
ความดันอากาศ ความดันอากาศเรียกอีกอย่างว่า
ความดันบรรยากาศ ความดันอากาศเป็นผลของอากาศที่กดลงมาตรงบริเวณที่ต้องการวัดความดันอากาศ
ซึ่งสามารถเห็นเหตุการที่เป็นผลที่เกิดจาก ความดันอากาศได้โดยทั่วไป เช่น
การใช้หลอดดูดน้ำจากขวดหรือภาชนะใด
น้ำในภาชนะจะถูกแรงกดอากาศกดลงจนทำให้สามารถใช้หลอดดูดน้ำได้ เป็นต้น
การเกิดความดันอากาศทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อาทิ
ในเครื่องบด ระบบไฮโดรลิก
ความดันของเหลว เป็นแรงดันหรือความดันของน้ำหนักของของเหลวกดทับลงบริเวณที่ต้องการวัด
ความดันของของเหลวทุกชนิดจะออกแรงกระทำกับวัตถุในทุกทิศทาง
ซึ่งแตกต่างจากความดันอากาศที่ทำให้ทิศทางเดียว เช่น ความดันของน้ำ
หากวัดในบริเวณตื้นๆ ความดันน้ำจะมีค่าน้อยกว่าบริเวณที่มีความลึกลงไป ความดันน้ำจะกระทำในทุกทิศทางที่น้ำล้อมรอบตัว
ซึ่งก่อให้เกิดแนวทางสำหรับการประยุกต์การผลิตชุดดำน้ำหรืออุปกรณ์ดำน้ำชนิดต่างๆ
ที่ต้องคำนึงถึงความแข็งแรงเพื่อทนต่อแรงดันน้ำ
จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการศึกษาในงานเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ
เนื่องจากเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการศึกษาในบทถัดไป
เอกสารอ้างอิง
[1] http://www.fixzy.net/category สืบค้นเมื่อวันที่
16 มิถุนายน 2559
[2] http://siamcooling.com สืบค้นเมื่อวันที่ 16
มิถุนายน 2559
[3] http://www.thaibizcenter.com/subcat.asp?SubID=65
สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559
[4] http://www.pui108diy.com/wp/energy/p1110-correct_hot_wall_e2-0-understand_heat-conduction-convection-radiation
สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น